ทุกคนรู้นะครับว่าเราทำธุรกิจกับคน ไม่ได้ทำธุรกิจกับลิงหรือกลับหมีแพนด้า ช้าง ม้า ที่ไหน เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ก่อนครับ มนุษย์เราเมื่อมีเหตุการณืเข้ามาให้ตัดสินใจ จะใช้ภาวะอารมณ์อยู่ 2 อย่างเป็นเครื่องมือช่วยในกการตัดสินใจอัตโนมัติ ภาวะแรกคืออารมณ์ด้านบวก ความรัก ความปิติ ความยินดี ความสำเร็จ ความสุข ภาวะที่สองคืออารมณ์ด้านลบ ความกลัว ความเกลียด ความเศร้า ความเจ็บ ความเครียด เมื่อมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น มนุษย์จะหลีกเลี่ยงภาวะอารมณ์ด้านลบก่อนเสมอ เข้ามาในเรื่องธุรกิจเครือข่าย คนเราเลือกที่จะอยู่เฉยๆ แทนที่จะออกไป sponsor คน เพราะไม่อยากถูกปฏิเสธ เป็นต้น
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องทำการตลาดที่เข้าใจมนุษย์ครับ มนุษย์เราข้อแรกครับ ไม่ชอบถูกขายการที่อยู่ดีๆเราเอาสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในความต้องการของเขา ไปยัดเยียดขายเขา นั้นเป็นรรมดาครับ เขาผู้นั้นต้องป้องกันตัวเองทันที การตลาดฝืนๆแบบนี้ร้อยทั้งร้อยล้มไม่เป็นท่าครั ข้อที่สอง มนุษย์เราชอบซื้อ เอาง่ายๆ ถ้าคุณมีเงินสัก 100 ล้านบาท คุณมีรายการที่อยากจะซื้ออยู่บานตะเกียง ธรรมชาติของคนเราข้อที่สามนะครับ ไม่ชอบง้อคน การที่คุณใช้กลยุทธการตลาดแบบต้องโน้มน้าวใจคน พยายามสาธิตสินค้า พยายามปิดการขาย นั่นแหล่ะครับ คุณกำลังง้อคนอยู่เห็นภาพไหมครับวิธีแบบเดิมๆมันฝืนธรรมชาติแค่ไหน แล้วยังไงหล่ะที่ไม่ฝืนธรรมชาติ การตลาดที่ไม่ต้องง้อใครมันเป็นอย่างไร เราต้องเปลี่ยนครับ จากการโน้มน้าวใจคนอื่น เป็นการเสนอสิ่งที่เขาต้องการ ยกตัวอย่างนะครับ ถ้าคุณมีเนื้อสเต็กชั้นดีอยู่ชิ้นหนึ่งแต่คุณไปเสนอขายคนที่กินเจ ทั้งชาติเขาก็ไม่ซื้อครับ แต่ถ้าเรามีระบบคัดกรองคนที่ชอบทานเนื้อหล่ะ แล้วเรานำเสนอเนื้อชั้นดีนี้ให้กับกลุ่มนี้เท่านั้น เป็นคุณจะเลือกทำการตลาดแบบไหนครับ
สรุปเลยนะครับ การทำการตลาดแบบไม่ฝืนธรรมชาติสิ่งแรกเราต้องรู้กลุ่มเป้าหมายก่อนว่าคือใคร อย่างที่สองคือสินค้าหรือบริการเป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ สุดท้ายคือวิธีการที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ถ้านำทั้งสามอย่างนี้ไปปรัใช้แล้ว รับรองครับว่าการที่ธุรกิจของคุณจะเติบโตขึ้นนั้น ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติแน่นอน
ที่มา : internet
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องทำการตลาดที่เข้าใจมนุษย์ครับ มนุษย์เราข้อแรกครับ ไม่ชอบถูกขายการที่อยู่ดีๆเราเอาสินค้าที่ไม่ได้อยู่ในความต้องการของเขา ไปยัดเยียดขายเขา นั้นเป็นรรมดาครับ เขาผู้นั้นต้องป้องกันตัวเองทันที การตลาดฝืนๆแบบนี้ร้อยทั้งร้อยล้มไม่เป็นท่าครั ข้อที่สอง มนุษย์เราชอบซื้อ เอาง่ายๆ ถ้าคุณมีเงินสัก 100 ล้านบาท คุณมีรายการที่อยากจะซื้ออยู่บานตะเกียง ธรรมชาติของคนเราข้อที่สามนะครับ ไม่ชอบง้อคน การที่คุณใช้กลยุทธการตลาดแบบต้องโน้มน้าวใจคน พยายามสาธิตสินค้า พยายามปิดการขาย นั่นแหล่ะครับ คุณกำลังง้อคนอยู่เห็นภาพไหมครับวิธีแบบเดิมๆมันฝืนธรรมชาติแค่ไหน แล้วยังไงหล่ะที่ไม่ฝืนธรรมชาติ การตลาดที่ไม่ต้องง้อใครมันเป็นอย่างไร เราต้องเปลี่ยนครับ จากการโน้มน้าวใจคนอื่น เป็นการเสนอสิ่งที่เขาต้องการ ยกตัวอย่างนะครับ ถ้าคุณมีเนื้อสเต็กชั้นดีอยู่ชิ้นหนึ่งแต่คุณไปเสนอขายคนที่กินเจ ทั้งชาติเขาก็ไม่ซื้อครับ แต่ถ้าเรามีระบบคัดกรองคนที่ชอบทานเนื้อหล่ะ แล้วเรานำเสนอเนื้อชั้นดีนี้ให้กับกลุ่มนี้เท่านั้น เป็นคุณจะเลือกทำการตลาดแบบไหนครับ
สรุปเลยนะครับ การทำการตลาดแบบไม่ฝืนธรรมชาติสิ่งแรกเราต้องรู้กลุ่มเป้าหมายก่อนว่าคือใคร อย่างที่สองคือสินค้าหรือบริการเป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมายหรือไม่ สุดท้ายคือวิธีการที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
ถ้านำทั้งสามอย่างนี้ไปปรัใช้แล้ว รับรองครับว่าการที่ธุรกิจของคุณจะเติบโตขึ้นนั้น ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติแน่นอน
ที่มา : internet